บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง และ แนนนี่ อรรณิกา

บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง และ แนนนี่ อรรณิกา

บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง ควงภรรยา แนนนี่ อรรณิกา มาเปิดเผยเส้นทางความรักกว่า 12 ปี โอดเจอCV หนักมากเตรียมย้ายครอบครัวไปต่างประเทศ ในรายการคุยแซ่บ Show ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพ็ชร์ และ เป๊กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ทราบว่าCVหนักหรือ

บอล วิทวัส : โอย มัน 2 ปี นะครับ คือเราก็มีงานแหละ แต่ว่ามันถ่ายแล้วไม่จบสักที คือตอนนี้ก็มีละครอยู่ 2 เรื่องที่เหลือแค่คิวเดียวที่มันยังปิดกล้องไม่ได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเพิ่งฟิตติ้ง ยังเปิดกล้องไม่ได้

เรียกว่ารายรับไม่มี แต่รายจ่ายเท่าเดิม เอาเงินที่ไหนไปจ่าย

บอล วิทวัส : ก็เอาเงินที่สะสมไว้ ต้องเอามาใช้จ่ายทุกเดือนแต่ว่า แนนนี่เขาโชคดี ที่เขามีร้านน้ำ ยังเปิดขายอยู่ที่โรงพยาบาล ก็เลยยังพอมีรายได้เข้ามาอยู่บ้าง จริงๆ ร้านก็ไม่ได้เล็กนะ รายได้ก็โอเคอยู่ แต่ในช่วงCV เขาไม่ได้เปิดให้เข้าไปนั่งทานปกติ คือต้องซื้อแล้วเวียนออกไป แต่มันก็ยังพอมีรายได้อยู่

แนนนี่ อรรณิกา : ร้านอยู่ในโรงพยาบาลพระมงกุฎ ในโรงอาหาร เป็นร้านขายน้ำเปล่าและน้ำอัดลม มีอยู่ร้านเดียว

แต่ละเดือน เรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

บอล วิทวัส : หลักๆ เลยคือเรื่องบ้าน เพราะบ้านยังผ่อนอยู่เดือนละ 30,000 กว่าบาท และก็มีค่าน้ำ ค่าไฟเดือนหนึ่งประมาณ 3-4 พันบาท ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องครอบครัว กับลูกเรื่องค่ากิน ค่าอยู่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติค่ายใช้จ่ายเดือนหนึ่งจะมากกว่านี้ 5-6 หมื่น แต่พออยู่บ้านเราไม่ค่อยได้ใช้เงินเยอะ ไม่ได้สั่งของเข้าบ้าน ส่วนใหญ่จะซื้อของเข้ามาแล้วทำกินเอง ส่วนค่าเทอมลูกแม้จะเรียนออนไลน์แต่ก็ยังต้องจ่ายอยู่เท่าเดิม

เห็นว่าพอสถานการณ์CVลากยาวเลยต้องทยอยขายของสะสม

บอล วิทวัส : จริงๆ เราก็ยังพอมีเงินเก็บ แต่เราต้อง การสภาพคล่อง คือเราต้องการมีเงินเผื่อว่าเราจะมีแอคซิเดน (accidental) อย่างเช่นวันดีคืนดีเราเกิดป่วยขึ้นมา เราต้องการเงินสดเผื่อเอาไว้ เราก็เลยเอารถไปรีไฟแนนซ์ไว้ก่อน คือรถเราไม่ได้ผ่อนแล้ว

สภาพแบบนี้เราจะอยู่โดยไม่มีงานได้อีกกี่เดือน

บอล วิทวัส : ถ้าเป็นเงินเก็บของผมล้วนๆ อยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน ก็น่าจะหมดแล้ว ถ้าปีใหม่ยังCVอยู่ก็จะจุกหน่อย แต่ว่าผมโชคดีที่คุณภรรรยาเขามีโปรดักส์ที่ทำออกมาแล้วกำลังขายอยู่ แล้วมันค่อนข้างโอเค

ได้ข่าวว่า ถ้าปีใหม่แล้วสถานการณ์ไม่ดีขึ้น บอลจะพาครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ

บอล วิทวัส : จริงๆ เป็นแพลนที่คิดไว้นานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ผมคิดจะพาลูกไปเรียนที่เยอรมัน

แนนนี่ อรรณิกา : เพราะแนนนี่เป็นลูกครึ่งเยอรมัน ไม่ได้มีบ้านอยู่ที่โน่น คือถ้าไปเราก็ต้องไปเริ่มใหม่ แต่ด้วยความที่เรามี 2 สัญชาติ คือเรากลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วถ้าลูกไปอยู่ที่โน่น ลูกเรียนฟรี มันเป็นสวัสดิการของรัฐ

แล้วถ้าไปที่โน่น บอลจะไปทำอะไร

บอล วิทวัส : ถ้าไปแรกๆ เราก็คงต้องเลี้ยงลูกไปก่อน แล้วหลักๆ ภรรยาก็ไปทำงาน เพราะเราไปที่โน่นเราต้องขอวีซ่า แต่ว่าลูกได้สัญชาติตามแม่ ถ้าไปแล้วผมได้ทำงานอะไรผมทำหมด คืองานอะไรก็ตามที่ทำแล้วเรามีชีวิตรอด เป็นอาชีพสุจริต ผมทำหมด ขอแค่อนาคตของลูกเมียเจริญเติบโต

แนนนี่ อรรณิกา : ถามว่าอยากไปทำงานอะไร คือหนูอยากไปทำธุรกิจมากกว่า จริงๆ เรามีความรู้ของเมืองไทย เราไปเปิดร้านนวดก็ได้ ไปเปิดร้านอาหารก็ได้ เพราะว่าที่โน่นเขาชอบของไทย

แพลนไว้ไหมว่าเมื่อไหร่

บอล วิทวัส : จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ เราคุยกันแล้วว่าถ้าเหตุการณ์มันไม่ไหวจริงๆ เราก็จะไปสตาร์นับหนึ่งใหม่ที่โน่นเลย แต่ในแพลนก่อนหน้านั้น คือเราก็คิดเผื่อไว้แล้วว่า ถ้าเรามีชีวิตที่ดีที่นี่ เราก็จะไปซื้อบ้านที่โน่น ไปทำธุรกิจที่โน่น

แนนนี่ อรรณิกา : ถามว่าเมื่อไหร่เอาเป็นว่า เหลือแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน เราก็ขนกับไปเลย ไปกัน 4 คน เรื่องนี้เราก็มีคุยกับลูกไว้บ้างแล้ว ว่าถ้าไปโน่นหนูจะโอเคไหม ต้องไปเรียนที่โน่นนะ ด้วยความที่โรงเรียนหยุดไปนาน ก็เหมือนเขาลืม ขนาดอ่านหนังสืออ่านอย่างไรก็ลืมแล้ว ชื่อเพื่อนก็ลืมแล้ว

ด้วยความที่อยู่วงการบันเทิงมาตลอด ต้องมาทิ้งวงการบันเทิงเพราะCV ไม่เสียดายหรือ

บอล วิทวัส : ถามว่าเสียดายไหม เสียดาย แต่เราก็ต้องเอาชีวิตเราให้รอด เพราะอยู่ที่นี่มันไม่มีงาน เราทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องเลือกที่จะไปหาอะไรเพื่อให้เรามีชีวิตรอดต่อไป เพียงแต่ว่าตอนนี้เรามีผลิตภัณฑ์ของคุณแนนนี่ที่มันยังพอไปได้ และมันก็น่าจะเติบโตประมาณหนึ่ง

แนนนี่ อรรณิกา : แต่เราก็พูดเผื่อกรณีที่มันไม่เวิร์ค เราก็อาจจะต้องไป

บอลกับภรรยาเจอกันครั้งแรกที่ไหน

บอล วิทวัส : ต้องบอกว่าเจอกันที่เครื่องบิน จริงๆ ผมเห็นเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่ตอนแรกคือผมรู้ตัวว่าผมต้องไปทำงานที่อเมริกากับพี่ติ๊ก ชีโร่ แต่ผมเห็นเขาเดินผ่าน แล้วเราก็มองว่าฝรั่งคนนี้สวย ซึ่งตอนนั้นผมยังโสดอยู่ ผมเห็นเขาเดินไปคุยกับพี่ติ๊ก ก็คิดว่าเขาคงมาส่งพี่ติ๊ก พอผมขึ้นเครื่องบินลงนั่งปุ๊บ เขาลงมานั่งข้างๆ เรา บนเครื่องบิน เขาก็เอาผ้าห่มคลุมแล้วหลับเลยตลอดทาง 13 ชั่วโมงในการเดินทาง

แนนนี่ อรรณิกา : คือก่อนหน้าหนูเคยเห็นเขาผ่านทางทีวี หนูรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วก็เห็นว่าเขามองเราอยู่ ก็คิดว่าเขาเป็น โ ร ค จิ ต หรือเปล่ามองอยู่นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจ จนขึ้นเครื่องปรากฎว่าได้นั่งติดกัน ก็ตกใจ

แล้วได้คุยกันตอนไหน

บอล วิทวัส : ตอนเครื่องกำลังจะลง มันต้องมีกรอกข้อมูล ซึ่งเขาก็ทำสีหน้าเลิกลั่ก ว่าจะกรอกอย่างไร สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถาม พี่คะไอ้ใบนี้มันต้องกรอกอย่างไร ผมก็มองเขากลับไป ว่าพูดไทยได้ด้วยหรือ คือผมเข้าใจว่าเขาเป็นฝรั่งมาโดยตลอด

แนนนี่ อรรณิกา : คือเราคุยกับเขาเพราะต้องการความช่วยเหลือ ก็คิดว่ากรอกเสร็จก็จบแค่นั้น บังเอิญไม่จบ เพราะเราไปทริปเดียวกัน เพราะหนูเป็นหลานของภรร ย าของน้าติ๊ก ชีโร่

บอล วิทวัส : มันเป็นงานสงกรานต์ไทยเฟสติวัลที่แอลเอ ก็ได้ไปทำงานที่โน่น เรียกว่าไม่ได้ไปทำงานหรอก ก็ไปร้องเพลงแป๊บหนึ่งแล้วเขาก็พาไปเที่ยวนั่นแหละ

มาสนใจเขาตอนไหน

บอล วิทวัส : คือทริปนั้นเป็นทริปคนสูงอายุหน่อย เป็นพี่ติ๊ก ทีมงาน และรุ่นเด็กไปเลยก็คือลูกพี่ติ๊ก ก็จะมีวัยเดียวกันคือเรากับภรร ย า ซึ่งตอนนั้นเขาก็พาเราไปเที่ยว ไปหลายเมือง ไปลาสเวกัส ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ยูนิเวอร์แซล ก็เลยมีโอกาสสนิทกัน พอได้คุยกันปั๊บ ปรากฎว่าได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย

ทำไมมาตกหลุมรักผุ้ชายคนนี้

แนนนี่ อรรณิกา : จริงๆ เจ้าชู้ทั้งคู่ แต่คนนี้เขาหยอดเยอะ เขาตื้อหนักแล้วหนูก็เลยแพ้ลูกตื้อเขา แล้วที่บ้านเชียร์เขาก็เลยได้ภาษีดีกว่า

บอล วิทวัส : คือผมอาศัยวิธีเข้าทางผู้ใหญ่ คือทางพี่อ้อ และทางคุณยายทวด คือผมได้รู้จักกับน้าอ้อตอนไปทริปอเมริกา ก็เลยสนิทกัน เขาก็เลยเป็นแม่สื่อ เราก็ใช้วิธีเวลาเราไปทำงานที่ไหน เราก็จะซื้อของมาฝากน้าอ้อบ้าง มีโทรถามว่าตอนนี้ผมอยู่ที่นี่นะอยากได้อะไรไหม ส่วนคุณยายเราก็ใช้วิธีเดียวกัน คือซื้อของที่แกชอบไปฝาก

นานไหมกว่า แนนนี่ จะตกลงเป็นแฟน

บอล วิทวัส : จริงๆ แล้วต้องขอบคุณคุณยายและน้าอ้อมากๆ ที่เขาค่อนข้างจะโอเพ่นกับเรา เขาเป็นคนเปิดโอกาสให้เราได้มีโอกาสไปมาหาสู่แนนี่บ่อยๆ บางครั้ง คุณยายทำอาหารแกก็จะโทรเรียกเรามากินที่บ้าน เราก็จะมีโอกาสเจอแนนนี่ที่บ้าน ถามว่านานไหมกว่าจะเป็นแฟนก็ 2-3 เดือน แต่กว่าที่ผมจะมาขอเขาเป็นแฟนก็ประมาณ 5-6 เดือน

เห็นคบกันพักหนึ่งเจอปัญหาเรื่องเงิน

บอล วิทวัส : คือผมเป็นคนที่ใช้เงินเก่ง ด้วยความที่เราถูกสปอยโดยพ่อแม่ พอเรามีเงินของตัวเอง เรามีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น โดยเราไม่ได้คิดถึงอนาคต แล้วก็ไม่ได้คิดว่า มันอาจจะมีบางช่วงที่เราอาจจะไม่มีงาน เราก็ใช้เงินเหมือนเดิม พอใช้ปั๊บเงินหมด คือช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำท่วม ที่เราไม่ได้ทำงาน ประมาณปี 2554 ถามว่าหนักไหมหนัก เพราะว่างานมันไม่จบเหมือนช่วงโควิดนี่แหละ เราก็เลยยังไม่ได้เงินที่ควรจะได้

บอลทำงานมาตั้งแต่เด็ก และก็เป็นดาราดัง เงินหมดไปกับอะไร

บอล วิทวัส : ก็ใช้สุรุ่ยสุร่าย ส่วนใหญ่หมดไปกับรถ แต่งรถ เปลี่ยนแม็กซ์ เปลี่ยนโช้ค คือเปลี่ยนทีก็หมดเป็นแสน คือซื้อธรรมดาไม่ได้ต้องเป็นลิมิเต็ด ช่วงนั้นเงินหมดจนมีเงินเหลือติดตัวอยู่แค่ 20 บาท แล้วก็เอาเงิน 20 บาทไปเติมน้ำมัน ซึ่งตอนนั้นเติมได้ประมาณ ลิตรหนึ่ง แล้วก็ขับรถไปบ้านคุณยายทวดของแนนนี่

เห็นว่ามีฉกกางเกงยีนส์คุณพ่อแนนนี่ไปขายด้วย

บอล วิทวัส : จริงๆ ใช้คำว่าขอยืมดีกว่า คือคุณพ่อแนนนี่สะสมกางเกงยีนส์ เป็นลีวาย 505 เป็นเมดอินยูเอส ถามว่าลิมิเต็ดไหม ไม่รู้ แต่เป็นอะไรที่คนเขาเล่นกัน เพราะมันเมดอินยูเอส

แนนนี่ อรรณิกา : ใช้คำว่าไม่ได้ขออนุญาตดีกว่า คือเป็นกางเกงของคุณพ่อ คุณพ่อสะสม คือช่วงนั้นไปอยู่อเมริกา แล้วคุณพ่อก็จะซื้อเก็บๆ มีเยอะมากเป็นตู้คอนเทนเนอร์

คุณบอล กลัวภรย า ไหม

บอล วิทวัส : ขอใช้คำว่าเกรงใจดีกว่า เพื่ออนาคตของครอบครัว

เรียบเรียงโดย ทีมงาน siamdrama

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ